top of page

โครงการการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ด

  • รูปภาพนักเขียน: Impact Partnership
    Impact Partnership
  • 20 พ.ย.
  • ยาว 4 นาที

หน่วยงานเจ้าของโครงการ: ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล




🔹1. Case Overview (บริบทและภาพรวมโครงการ)


พื้นที่ดำเนินการ

พื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งครอบคลุม 9 ตำบล ใน 3 อำเภอ โดยมีองค์กรผู้ใช้น้ำนำร่อง 5 ตำบล และขยายผลสู่องค์กรผู้ใช้น้ำอีก 4 ตำบล


ช่วงเวลาดำเนินการ

กันยายน 2564 – ธันวาคม 2565


ปัญหา / โอกาส

  1. ความขัดแย้งรุนแรง: การแย่งชิงน้ำอย่างเข้มข้นระหว่างกลุ่มผู้ใช้ประโยชน์ (เช่น ชาวนาและชาวประมง) โดยเฉพาะในฤดูแล้งที่น้ำดิบไม่เพียงพอ 

  2. ความซับซ้อนเชิงโครงสร้าง: มีกฎหมายซ้อนทับถึง 3 ฉบับ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากถึง 13 หน่วยงาน ทำให้การจัดการเป็นแบบแยกส่วน 

  3. การเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ: ปัญหาการตื้นเขินจากตะกอนดิน และการสูบน้ำจากแม่น้ำน่านเข้าบึงที่ไม่มีประสิทธิภาพ โครงการนี้จึงมุ่งสร้าง "กติกาการใช้น้ำ" ที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกัน โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมที่อิงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และข้อเท็จจริงในพื้นที่เป็นฐานในการเจรจา


Impact Verifier Status

  • โครงการนี้ผ่านการประเมินผลตอบแทนทางสังคม (SROI) 

  • โดย สมาคมผู้ประเมินมูลค่าทางสังคมไทย (Social Value Thailand) 

  • ประเมินเสร็จสิ้น ตุลาคม 2568 

  • ผลการประเมินพบว่า การลงทุน 1 บาท สร้างผลตอบแทนทางสังคม 28.89 บาท (SROI Ratio = 28.89)


🔹 2. Stakeholder Mapping (การระบุผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย)


กลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

บทบาท

ประโยชน์ที่ได้รับ (หรือได้รับผลกระทบ)

ระดับการมีส่วนร่วม


ชุมชน / กลุ่มเป้าหมายหลัก

องค์กรผู้ใช้น้ำ (WUO) 9 ตำบล นำร่อง 5 และส่วนขยาย 4 

ผู้ได้รับผลประโยชน์หลัก, ผู้ร่วมสร้างกติกา, ผู้ขับเคลื่อนในพื้นที(Bottom-up)


ด้านสังคม: ลดความขัดแย้งในการใช้น้ำ (ข้อร้องเรียนลดลงเกือบ 100%), เกิดทุนทางสังคมและความภาคภูมิใจ, มีพลังในการเจรจาต่อรอง, เข้าถึงข้อมูลที่โปร่งใสผ่าน Line OA

ด้านเศรษฐกิจ: ลดความกังวลและสร้างความมั่นคงในที่ดินทำกิน (เข้าสู่ระบบเช่าของกรมธนารักษ์ 5,000+ ครัวเรือน), ลดผลกระทบและความเสียหายต่ออาชีพ (เกษตร/ประมง/ท่องเที่ยว), ลดต้นทุน (ค่าน้ำ, ค่าปุ๋ยจากนาเปียกสลับแห้ง), เพิ่มรายได้ (เช่น ท่องเที่ยว)

ด้านสิ่งแวดล้อม: ได้รับประโยชน์จากคุณภาพน้ำที่ดีขึ้น (จากประเภท 4 → 3) และระบบนิเวศที่ฟื้นตัวจากการรักษาระดับน้ำ


สูงมาก 

ผู้ขับเคลื่อนและตัดสินใจร่วม



ประชาชนในพื้นที่ ครัวเรือนรอบบึงกว่า 5,684 ครัวเรือน 

  • กลุ่มเกษตรกร 

  • ชาวประมง 

  • และผู้ประกอบการท่องเที่ยว

ผู้ได้รับผลประโยชน์หลัก, ผู้ร่วมสร้างกติกา, ผู้ขับเคลื่อนในพื้นที(Bottom-up)



หน่วยงานภาครัฐ

กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

ผู้ดูแลเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงบอระเพ็ด

ด้านการบริหาร: ลดต้นทุนการบริหารจัดการความขัดแย้งและลดข้อร้องเรียน, ทำงานบูรณาการ 13 หน่วยงานได้ง่ายขึ้น (จากเดิมที่ทำงานแบบแยกส่วน)

ด้านข้อมูล: ได้ฐานข้อมูล (GIS/การใช้น้ำ) ที่เป็นปัจจุบันเพื่อใช้ในการวางแผน, ลดต้นทุนการสื่อสาร/สร้างความเข้าใจกับชุมชน

ด้านการปฏิบัติงาน: (กรมธนารักษ์) ดำเนินการจัดสรรที่ดินได้สำเร็จ 100% ในพื้นที่ต้นแบบ, (กรมอุทยานฯ) ได้ข้อเสนอจากชุมชนบรรจุใน "แผนอนุรักษ์ฯ", (สทนช.) ได้ "บึงบอระเพ็ดโมเดล" เป็น Best Practice เพื่อขยายผล


สูง

(ผู้ปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์และผู้รับรองนโยบาย)


กรมธนารักษ์

ผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินราชพัสดุ




กรมประมง

ผู้ใช้พื้นที่ดั้งเดิมเพื่อบำรุงพันธุ์สัตว์น้ำ




กรมชลประทาน 

ผู้บริหารจัดการประตูน้ำหลัก




กรมทรัพยากรน้ำ 

ผู้ดูแลการสูบน้ำเข้าบึงบอระเพ็ด 




สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ 

หน่วยงานเชิงนโยบายที่กำกับดูแลภาพรวม 




จังหวัดนครสวรรค์

คณะกรรมการบริหารจัดการบึงบอระเพ็ด (บอร์ดใหญ่) 



ภาคธุรกิจ / องค์กรสนับสนุน

มหาวิทยาลัยมหิดล

ผู้สนับสนุนโครงการ

สร้างผลกระทบต่อสังคมจริง (Real World Impact) และยกระดับภาพลักษณ์สถาบัน (ด้าน SDGs)


สูงมาก

(ผู้ริเริ่ม, ผู้สร้างกระบวนการ, ผู้เชื่อมประสาน)



มหาวิทยาลัยมหิดล (วิทยาเขตนครสวรรค์)

ผู้ริเริ่ม, ผู้ดำเนินโครงการหลัก, ผู้สร้างกระบวนการมีส่วนร่วม และทำหน้าที่เป็น "คนกลาง" ประสานงาน 

บุคลากร (ม.มหิดล) ได้รับการยอมรับ ถูกแต่งตั้งเป็นกรรมการระดับชาติ



สถาบันการศึกษา / นักวิจัย

มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์

ภาคีเครือข่ายนักวิชาการที่ร่วมต่อยอดงานวิจัย 

ลดต้นทุนการเข้าถึงข้อมูลและเครือข่ายในพื้นที่เพื่อการวิจัย

ได้ฐานข้อมูลไปต่อยอดงานวิจัย, เขียน Proposal, และพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน (เช่น บอร์ดเกม, บูรณาการในวิชาเรียน)



ภาคประชาสังคม / เครือข่าย





Key จุดเน้น: ชี้ให้เห็น “ระบบนิเวศของการขับเคลื่อน (ecosystem of collaboration)” — ว่าใครบ้างที่ทำให้ผลลัพธ์เกิดขึ้นจริง


🔹 3. Intervention / Innovation (กลยุทธ์ – วิธีการ – เครื่องมือที่ใช้)


นวัตกรรมหรือวิธีการทำงาน

นวัตกรรมเชิงกระบวนการ (Process Innovation) : โครงการนี้เปลี่ยนวิธีการทำงานของพื้นที่ จากเดิมที่ "ต่างคนต่างทำ" (Silo) และ "รัฐสั่งการ" ไปสู่ "การบริหารจัดการร่วมบนฐานข้อมูล" (Data-driven Co-management) โดยใช้กลยุทธ์ 3 สร้าง (3-Build Strategy)


  1. สร้างความเข้าใจ (Build Understanding): ใช้ข้อมูลวิทยาศาสตร์ (GIS, ระดับน้ำ) และข้อเท็จจริงในพื้นที่ มาจัดเวทีตรวจสอบข้อมูล เพื่อสร้าง "ความเข้าใจที่เท่าเทียมกัน (Shared Understanding)" ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการลดความขัดแย้ง 

  2. สร้างการเข้าถึง (Build Access): เสริมพลัง (Empower) ภาคประชาชน โดยการจัดตั้ง "องค์กรผู้ใช้น้ำ (WUO)" ให้เป็นตัวแทนเสียงของชุมชนที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อเข้าถึงกลไกการเจรจา 

  3. สร้างการพัฒนาร่วม (Build Co-development): สร้างเวทีเจรจา (COP) ให้ทุกภาคส่วน (รัฐ-ชุมชน-วิชาการ) ตัดสินใจร่วมกันบนฐานของ "ผลประโยชน์ร่วม (Shared Incentives)

จุดแข็ง

  1. ใช้ข้อมูลเป็นตัวตั้ง (Data-Driven): ลดการใช้อารมณ์และความขัดแย้ง หันมาใช้ข้อมูลข้อเท็จจริงในการเจรจา 

  2. ขับเคลื่อนจากฐานราก (Bottom-up): สร้างความเข้มแข็งจากองค์กรผู้ใช้น้ำ ทำให้เกิดความเป็นเจ้าของร่วมและยั่งยืน 

  3. มี "คนกลาง" (Neutral Facilitator): มหาวิทยาลัยมหิดลทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานที่ทุกฝ่ายไว้วางใจ

  4. สร้างเครื่องมือที่เข้าถึงง่าย: พัฒนาระบบ Line Official Account "สมาร์ทบึงบอระเพ็ด" (Smart Bueng Boraphet) ทำให้ทุกคนเข้าถึงข้อมูลสถานการณ์น้ำได้เท่าเทียมกัน 

  • วาดภาพโมเดลย่อ (Impact Model Diagram) :  OPTIONAL** 

Problem (ความขัดแย้ง, ขาดข้อมูล, รัฐแยกส่วน) → Intervention (3 สร้าง: สร้างความเข้าใจ, สร้างการเข้าถึง, สร้างการพัฒนาร่วม) → Change (เกิดองค์กรผู้ใช้ , เกิดคณะทำงานฯ  เกิดกติการ่วม ได้สิทธิ์ที่ดิน) → Value (SROI 28.89, ลดขัดแย้ง 100%, เศรษฐกิจ-สังคม-สิ่งแวดล้อมดีขึ้น) 

💡 Key จุดเน้น: แสดงให้เห็นว่าโครงการนี้ “เปลี่ยนวิธีคิดหรือวิธีทำ” ทำให้เกิดการการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม



🔹 4. Impact Pathway / Theory of Change (เส้นทางของการเปลี่ยนแปลง)

ใช้โมเดลเชื่อมโยง Input → Activity → Output → Outcome → Impact

ลำดับ

รายการ

ตัวอย่างคำอธิบาย

Input

ทรัพยากร, ทีมงาน, ข้อมูล

งบประมาณโครงการหลัก (ม.มหิดล): 995,000 บาท 

มูลค่าการลงทุนร่วม (Stakeholder Contributions) (Y0-Y2): 20.07 ล้านบาท (รวมเวลาของชุมชน , งบประมาณภาครัฐที่มาบูรณาการ , และทรัพยากรวิชาการ )


Activity

กิจกรรมหลัก

  1. การรวบรวม ตรวจสอบ และปรับปรุงข้อมูล (GIS, โครงข่ายน้ำ)

  2.  การวิเคราะห์ข้อมูลความต้องการใช้น้ำ (5 กิจกรรม)

  3. การสร้างระบบบริหารจัดการน้ำร่วม (จัดตั้ง WUO 5 องค์กร)

  4. การจัดเชื่อมโยงข้อมูลด้านทรัพยากรน้ำสู่ระบบออนไลน์ (Line OA "สมาร์ทบึงบอระเพ็ด") 


Output

ผลผลิตที่เกิดขึ้น

  1. ฐานข้อมูลบึงบอระเพ็ดที่เป็นปัจจุบัน

  2. โมเดลการใช้น้ำที่ทุกฝ่ายยอมรับ (5 กิจกรรม + 6 โครงการเร่งด่วน)

  3.  องค์กรผู้ใช้น้ำ 5 องค์กร (นำร่อง) (ต่อมาขยายผลเป็น 9 องค์กรใน Y1 )

  4.  ระบบ Line OA "สมาร์ทบึงบอระเพ็ด" 


Outcome

การเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ

สังคม: ความขัดแย้งเกี่ยวกับทรัพยากรน้ำลดลง (ข้อร้องเรียนลดลงเกือบ 100%) เกิดความสัมพันธ์และการบูรณาการ (รัฐ-ชุมชน)

เศรษฐกิจ: ลดผลกระทบและความเสียหายต่ออาชีพเกษตรกรรมและประมง ประชาชน 5,000+ ครัวเรือน เข้าสู่ระบบเช่าที่ดินอย่างถูกต้อง

 สิ่งแวดล้อม: คุณภาพน้ำในบึงดีขึ้น (จากประเภท 4 → 3) และเกิดกติกาการรักษาระดับน้ำ (ไม่ต่ำกว่า +23.00 ม.รทก.)

Impact

การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ / ยั่งยืน

นโยบาย: เกิด "คณะทำงานบริหารจัดการน้ำบึงบอระเพ็ด (น้ำหลาก น้ำแล้ง)" ที่จังหวัดนครสวรรค์รับรอง

 กฎหมาย: ข้อเสนอจากโครงการถูกบรรจุใน "แผนการอนุรักษ์และคุ้มครองพื้นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงบอระเพ็ด (2565-68)"

 การขยายผล: สทนช. ภาค 2 ยอมรับ "บึงบอระเพ็ดโมเดล" เป็น "แนวทางปฏิบัติที่ดี (Best Practice)"


🌱 Key จุดเน้น: ช่วยให้เห็น “เส้นทางของการเปลี่ยนแปลง” (Impact Pathway) ที่เกิดจากโครงการนั้นจริง ๆ



🔹 5. Evidence & Indicators (หลักฐานและตัวชี้วัดผลลัพธ์)

ระบุผลลัพธ์ในเชิงปริมาณและคุณภาพ เช่น

Quantitative

การแบ่งสัดส่วนผลกระทบ (Impact Breakdown) :

 มิติเศรษฐกิจ: 351.06 ล้านบาท (60.54%)

  • ลดผลกระทบความเสียหายต่ออาชีพ (เกษตร/ประมง/ท่องเที่ยว)

  • ประชาชนเข้าสู่ระบบเช่าถูกต้อง (สร้างความมั่นคง) (มูลค่า 35.00 ลบ.)

 มิติสิ่งแวดล้อม: 183.23 ล้านบาท (31.60%)

  • มูลค่าระบบนิเวศฟื้นฟูจากการรักษาระดับน้ำ (มูลค่า 202.32 ลบ.)

  • มูลค่าจากการปรับเปลี่ยนสู่ "นาเปียกสลับแห้ง" (มูลค่า 46.00 ลบ.)

มิติสังคม: 45.62 ล้านบาท (7.87%)

  • ลดต้นทุนการบริหารจัดการความขัดแย้งของรัฐ (มูลค่า 5.78 ลบ.)

  • เกิดการยกระดับความสัมพันธ์และการบูรณาการ (มูลค่า 2.95 ลบ.) 


Qualitative

ลดความขัดแย้ง: "ลดปัญหาการร้องเรียนลงได้เกือบ 100%" (คำกล่าว ปธ.องค์กรผู้ใช้น้ำ)

การยอมรับของภาครัฐ: กรมธนารักษ์ระบุว่า "บึงบอระเพ็ดถือเป็นพื้นที่ต้นแบบแห่งแรกที่สามารถดำเนินการ (ด้านการจัดสรรที่ดิน) ได้สำเร็จ 100%"

 การบูรณาการ: เกิดการทำงานร่วมกันของ 13 หน่วยงานรัฐที่เคยแยกส่วน 

SROI / Economic Valuation

อัตราผลตอบแทน (SROI Ratio): 28.89 (ลงทุน 1 บาท สร้างผลตอบแทนทางสังคม 28.89 บาท)

มูลค่าผลกระทบรวม (Total Impact Value) (พ.ศ. 2564-2571): 579.92 ล้านบาท

 มูลค่าการลงทุนรวม (Total Input) (พ.ศ. 2564-2571): 20.07 ล้านบาท

📊 Key จุดเน้น: ให้เห็นว่าผลลัพธ์ “จับต้องได้” และสะท้อนคุณค่า ไม่หยุดอยู่ที่ Output



🔹 6. SV Key Lessons Learned (บทเรียนสำคัญ / ปัจจัยความสำเร็จ)


ปัจจัยที่ทำให้โครงการสำเร็จ

1. Data (การสร้างความเข้าใจร่วม): การสร้าง "ความเข้าใจที่เท่าเทียมกัน (Shared Understanding)" คือกุญแจสำคัญที่สุดในการลดความขัดแย้ง

2. Process (พลังจากฐานราก): ความสำเร็จเกิดจากพลังขับเคลื่อนจากภายใน (Bottom-up) และการสร้าง "องค์กรผู้ใช้น้ำ (WUO)" ที่เข้มแข็ง

3. Leadership (บทบาทคนกลาง): มหาวิทยาลัยมหิดล (ภาคการศึกษา) ทำหน้าที่เป็น "ตัวกลาง" (Facilitator) ที่เป็นกลาง ช่วยเชื่อมประสานรัฐและชุมชน

4. Partnership (ผลประโยชน์ร่วม): การออกแบบกระบวนการให้ทุกฝ่ายตระหนักถึง "ผลประโยชน์ร่วมกัน (Shared Incentives)" ทำให้เกิดการรวมกลุ่มที่แท้จริง 

อุปสรรคและสิ่งที่เรียนรู้จากการดำเนินงาน

การเอาชนะความไม่ไว้วางใจ: ในช่วงแรก ชุมชนมีความรู้สึก "บอบช้ำ" จากโครงการวิจัยในอดีตที่เป็นลักษณะ "วิจัยแล้วก็ไป" โครงการต้องใช้เวลาสร้างความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่อง

ความซับซ้อนของกฎหมาย: การมี 13 หน่วยงาน และ 3 กฎหมายหลักซ้อนทับ ทำให้การบูรณาการในอดีตล้มเหลว โครงการต้องใช้ "คำวินิจฉัยกฤษฎีกา" (ที่ระบุว่าทุกกฎหมายต้องบังคับใช้ร่วมกัน) เป็นจุดเริ่มต้นในการเจรจา

ปัจจัยภายนอก: การระบาดของ COVID-19 และสถานการณ์น้ำท่วมในปี 2564-2565 ทำให้การลงพื้นที่ภาคสนามล่าช้ากว่าแผน

บทบาท

ผู้นำ (ม.มหิดล): เป็นผู้ริเริ่ม, ผู้ประสานงาน (Facilitator), ผู้สร้างองค์ความรู้และเทคโนโลยี (Line OA)

เครือข่าย (องค์กรผู้ใช้น้ำ): เป็นเจ้าของปัญหา, ผู้ร่วมสร้างกติกา, และกลไกขับเคลื่อนในพื้นที่

ผู้สนับสนุน (ภาครัฐ 13 หน่วยงาน): เป็นผู้ถือกฎหมาย, ผู้ปรับเปลี่ยนทัศนคติ และผู้รับรองกลไกใหม่ให้เกิดผลในทางปฏิบัติ



🔹 7. Impact Scalability 


สรุปว่ากระบวนการนี้สามารถ “ต่อยอด / ขยายผล” ไปที่พื้นที่อื่นได้อย่างไร

โมเดลนี้สามารถขยายผลได้ (Scalable) โดยใช้กลยุทธ์ 3 สร้าง:

  1. สร้างความเข้าใจด้วยข้อมูล 

  2. สร้างการเข้าถึงด้วยการเสริมพลังองค์กรผู้ใช้น้ำ

  3. สร้างการพัฒนาร่วมด้วยเวทีเจรจา 

การขยายผลเชิงนโยบาย (Policy Scaling): สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ภาค 2 ยอมรับ "บึงบอระเพ็ดโมเดล" เป็น แนวทางปฏิบัติที่ดี (Best Practice) และมีแผนจะนำเสนอเพื่อขยายผลสู่องค์กรผู้ใช้น้ำกว่า 3,000 องค์กรทั่วประเทศ 

โครงการ ต้องการขยายความร่วมมือ อะไร ต่อยอด เชิญชวน Impact Partnership

1. ด้าน Climate Resilience: ขยายผล "โมเดลนาเปียกสลับแห้ง (AWD)" สู่พื้นที่เกษตรกรรมรอบบึง เชิญชวนภาคเอกชนร่วมสร้างกลไกตลาดและแบรนด์ข้าวรักษ์โลก 

2. ด้าน Technology: พัฒนาระบบ "SMART บึงบอระเพ็ด" ให้เชื่อมโยง API กับฐานข้อมูลของหน่วยงานต่างๆ (เช่น กรมชลประทาน, กรมทรัพยากรน้ำ) 

3. ด้าน Sustainability (ความยั่งยืน): เชิญชวนภาคส่วนท้องถิ่นและภาคการศึกษา ร่วมส่งเสริม "ผู้นำรุ่นใหม่ (New Generation)" ให้เข้ามามีส่วนร่วมในองค์กรผู้ใช้น้ำ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของกลไก

 🧩 Key จุดเน้น: ให้ผู้อ่านเห็น “โอกาสในการนำโมเดลนี้ไปใช้ต่อ” มาร่วมมือกัน — ช่วยให้สมาคมเลือก case ที่มีศักยภาพสูงในการเผยแพร่ต่อสาธารณะ



🔹 8. SV Inspiration (การสะท้อนคุณค่าทางสังคม)

“What value did this project create for people and society?”

โครงการนี้ได้เปลี่ยน "สนามรบ" ของการแย่งชิงทรัพยากร ให้กลายเป็น "เวทีแห่งความร่วมมือ" โดยการสร้าง "ความไว้วางใจ" และ "กติการ่วม" ที่ตั้งอยู่บนฐานของข้อมูลและความเข้าใจซึ่งกันและกัน คุณค่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการคืน "สิทธิ์" และ "เสียง" ให้กับชุมชน ทำให้พวกเขาสามารถบริหารจัดการทรัพยากรของตนเอง ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูระบบนิเวศ และสร้างความมั่นคงในที่ดินทำกิน พิสูจน์ว่าปัญหาที่ซับซ้อนยาวนานสามารถแก้ไขได้เมื่อทุกฝ่ายมี "ผลประโยชน์ร่วมกัน" 

  • สะท้อนในมุมของผู้ได้รับประโยชน์ (เสียงของ stakeholder)

  • คำพูดสั้น ๆ (Quote) จากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น ชาวบ้าน, นักวิจัย, ผู้บริหารท้องถิ่น


คำพูดสั้น ๆ (Quote) จากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

นักวิจัย (ผู้เริ่มต้น): "หัวใจสำคัญคือการสร้างระบบและกลไกที่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนทัศนคติของชุมชน เมื่อชุมชนเข้าร่วม ระบบจึงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนที่เราจะผลักดันสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบายและข้อกฎหมาย" - ดร.ณพล อนุตรังกุล (หัวหน้าโครงการ) 

 ภาคนโยบาย (ผู้ขยายผล): "ความเข้มแข็งของโมเดลบึงบอระเพ็ดเกิดจากพลังการขับเคลื่อนจากภายใน (Bottom-up) เมื่อทุกฝ่ายตระหนักถึงผลประโยชน์ร่วมกัน (Shared Incentives) จึงนำไปสู่การรวมกลุ่มที่แท้จริง ไม่ใช่การจัดตั้งจากภายนอก" - นายศราวุธ สากล (ผอ.สนทช. ภาค 2) 

 ภาครัฐ (ผู้ถือกฎหมาย): 

  1. นายจิระเดช บุญมาก (หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงบอระเพ็ด - ภาครัฐ): “เรามุ่งหวังให้ที่นี่เป็นต้นแบบด้านการบริหารจัดการ ที่สร้างสมดุลความยั่งยืนในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ชุมชนอยู่ร่วมกับทรัพยากรได้อย่างเกื้อกูล โดยไม่บุกรุกพื้นที่รัฐ"

  2. คุณเอกฉัตร เอี่ยมตาล (ผอ.โครงการชลประทานนครสวรรค์ - ภาครัฐ): "การบริหารจัดการทรัพยากรเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน... ปัญหาความขัดแย้งที่เคยมีในพื้นที่ได้หมดสิ้นไป"

  3. ดร.วชิระ กว้างขวาง (สำนักงานประมงจังหวัดนครสวรรค์ - ภาครัฐ): "การสร้างความรู้ความเข้าใจที่เท่าเทียมกัน (Shared Understanding) คือกุญแจสำคัญในการลดความขัดแย้ง เมื่อทุกฝ่ายมีข้อมูลตรงกัน จึงนำไปสู่กระบวนการตัดสินใจร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ"

  4. นางสาวณัฐวีร์วรรณ เหลืองสุวาลัย (ธนารักษ์พื้นที่นครสวรรค์ - ภาครัฐ): “บึงบอระเพ็ดถือเป็นพื้นที่ต้นแบบแห่งแรกที่สามารถดำเนินการ (ด้านการจัดสรรที่ดิน) ได้สำเร็จ 100% ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นได้ด้วยการบูรณาการการทำงานอย่างเข้มแข็งของทุกภาคส่วน”

 ชุมชน (ผู้ได้รับประโยชน์): 

  1. นายสมชาย อิ่มโพธิ์ (ผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำตำบลพนมเศษ - ชุมชนนำร่อง): "เรายึดมั่นในหลักการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีส่วนร่วม โดยสร้างกติกาที่ชัดเจนในการจัดสรรน้ำระหว่างตำบล ใช้วิธีแบ่งปันแบบหมุนเวียนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สมาชิกผู้ใช้น้ำทุกพื้นที่ได้รับประโยชน์อย่างเป็นธรรมและทั่วถึง"

  2. นายสายรุ้ง เหง้าลี (ประธานองค์กรผู้ใช้น้ำตำบลวังใหญ่ - ชุมชนส่วนขยาย): "ในอดีต พื้นที่โซนบนและโซนล่างมีความขัดแย้งในการใช้น้ำสูง แต่การรวมกลุ่มเป็นองค์กรผู้ใช้น้ำส่วนขยาย ทำให้เรามีพลังในการเจรจาโดยตรงกับทุกภาคส่วน สร้างความเข้าใจร่วมกัน และสามารถลดปัญหาการร้องเรียนลงได้เกือบ 100%"


ความคิดเห็น


Asset 1 1.png
Impact Function
Create Impact
Impact Portal
Impact Insight
About IPP
Social Media
image 37.png
image 38.png
image.png
image.png

สมาคมผู้ประประเมินมูลค่าทางสังคมไทย
Tel : 089-680–1233, 090-669-3961
Email : info@impactpartnership.asia
Mon – Fri, 09:00-18:00

Find us at the office8/106 PATIO Kallapaphruk-SathornKanchanapisek Road, Bangkae, Bangkok, Thailand 10160

Copy right 2021 all rights reserved © NISE CORPORATION CO.,LTD Version: 3.0.7 | 10/10/2024_10:40
bottom of page