โครงการการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ด
- Impact Partnership

- 20 พ.ย.
- ยาว 4 นาที
หน่วยงานเจ้าของโครงการ: ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล
🔹1. Case Overview (บริบทและภาพรวมโครงการ)
พื้นที่ดำเนินการ
พื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งครอบคลุม 9 ตำบล ใน 3 อำเภอ โดยมีองค์กรผู้ใช้น้ำนำร่อง 5 ตำบล และขยายผลสู่องค์กรผู้ใช้น้ำอีก 4 ตำบล
ช่วงเวลาดำเนินการ
กันยายน 2564 – ธันวาคม 2565
ปัญหา / โอกาส
ความขัดแย้งรุนแรง: การแย่งชิงน้ำอย่างเข้มข้นระหว่างกลุ่มผู้ใช้ประโยชน์ (เช่น ชาวนาและชาวประมง) โดยเฉพาะในฤดูแล้งที่น้ำดิบไม่เพียงพอ
ความซับซ้อนเชิงโครงสร้าง: มีกฎหมายซ้อนทับถึง 3 ฉบับ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากถึง 13 หน่วยงาน ทำให้การจัดการเป็นแบบแยกส่วน
การเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ: ปัญหาการตื้นเขินจากตะกอนดิน และการสูบน้ำจากแม่น้ำน่านเข้าบึงที่ไม่มีประสิทธิภาพ โครงการนี้จึงมุ่งสร้าง "กติกาการใช้น้ำ" ที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกัน โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมที่อิงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และข้อเท็จจริงในพื้นที่เป็นฐานในการเจรจา
Impact Verifier Status
โครงการนี้ผ่านการประเมินผลตอบแทนทางสังคม (SROI)
โดย สมาคมผู้ประเมินมูลค่าทางสังคมไทย (Social Value Thailand)
ประเมินเสร็จสิ้น ตุลาคม 2568
ผลการประเมินพบว่า การลงทุน 1 บาท สร้างผลตอบแทนทางสังคม 28.89 บาท (SROI Ratio = 28.89)
🔹 2. Stakeholder Mapping (การระบุผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย)
กลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย | บทบาท | ประโยชน์ที่ได้รับ (หรือได้รับผลกระทบ) | ระดับการมีส่วนร่วม | |
ชุมชน / กลุ่มเป้าหมายหลัก | องค์กรผู้ใช้น้ำ (WUO) 9 ตำบล นำร่อง 5 และส่วนขยาย 4 | ผู้ได้รับผลประโยชน์หลัก, ผู้ร่วมสร้างกติกา, ผู้ขับเคลื่อนในพื้นที(Bottom-up) | ด้านสังคม: ลดความขัดแย้งในการใช้น้ำ (ข้อร้องเรียนลดลงเกือบ 100%), เกิดทุนทางสังคมและความภาคภูมิใจ, มีพลังในการเจรจาต่อรอง, เข้าถึงข้อมูลที่โปร่งใสผ่าน Line OA ด้านเศรษฐกิจ: ลดความกังวลและสร้างความมั่นคงในที่ดินทำกิน (เข้าสู่ระบบเช่าของกรมธนารักษ์ 5,000+ ครัวเรือน), ลดผลกระทบและความเสียหายต่ออาชีพ (เกษตร/ประมง/ท่องเที่ยว), ลดต้นทุน (ค่าน้ำ, ค่าปุ๋ยจากนาเปียกสลับแห้ง), เพิ่มรายได้ (เช่น ท่องเที่ยว) ด้านสิ่งแวดล้อม: ได้รับประโยชน์จากคุณภาพน้ำที่ดีขึ้น (จากประเภท 4 → 3) และระบบนิเวศที่ฟื้นตัวจากการรักษาระดับน้ำ | สูงมาก ผู้ขับเคลื่อนและตัดสินใจร่วม |
ประชาชนในพื้นที่ ครัวเรือนรอบบึงกว่า 5,684 ครัวเรือน
| ผู้ได้รับผลประโยชน์หลัก, ผู้ร่วมสร้างกติกา, ผู้ขับเคลื่อนในพื้นที(Bottom-up) | |||
หน่วยงานภาครัฐ | กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช | ผู้ดูแลเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงบอระเพ็ด | ด้านการบริหาร: ลดต้นทุนการบริหารจัดการความขัดแย้งและลดข้อร้องเรียน, ทำงานบูรณาการ 13 หน่วยงานได้ง่ายขึ้น (จากเดิมที่ทำงานแบบแยกส่วน) ด้านข้อมูล: ได้ฐานข้อมูล (GIS/การใช้น้ำ) ที่เป็นปัจจุบันเพื่อใช้ในการวางแผน, ลดต้นทุนการสื่อสาร/สร้างความเข้าใจกับชุมชน ด้านการปฏิบัติงาน: (กรมธนารักษ์) ดำเนินการจัดสรรที่ดินได้สำเร็จ 100% ในพื้นที่ต้นแบบ, (กรมอุทยานฯ) ได้ข้อเสนอจากชุมชนบรรจุใน "แผนอนุรักษ์ฯ", (สทนช.) ได้ "บึงบอระเพ็ดโมเดล" เป็น Best Practice เพื่อขยายผล | สูง (ผู้ปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์และผู้รับรองนโยบาย) |
กรมธนารักษ์ | ผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินราชพัสดุ | |||
กรมประมง | ผู้ใช้พื้นที่ดั้งเดิมเพื่อบำรุงพันธุ์สัตว์น้ำ | |||
กรมชลประทาน | ผู้บริหารจัดการประตูน้ำหลัก | |||
กรมทรัพยากรน้ำ | ผู้ดูแลการสูบน้ำเข้าบึงบอระเพ็ด | |||
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ | หน่วยงานเชิงนโยบายที่กำกับดูแลภาพรวม | |||
จังหวัดนครสวรรค์ | คณะกรรมการบริหารจัดการบึงบอระเพ็ด (บอร์ดใหญ่) | |||
ภาคธุรกิจ / องค์กรสนับสนุน | มหาวิทยาลัยมหิดล | ผู้สนับสนุนโครงการ | สร้างผลกระทบต่อสังคมจริง (Real World Impact) และยกระดับภาพลักษณ์สถาบัน (ด้าน SDGs) | สูงมาก (ผู้ริเริ่ม, ผู้สร้างกระบวนการ, ผู้เชื่อมประสาน) |
มหาวิทยาลัยมหิดล (วิทยาเขตนครสวรรค์) | ผู้ริเริ่ม, ผู้ดำเนินโครงการหลัก, ผู้สร้างกระบวนการมีส่วนร่วม และทำหน้าที่เป็น "คนกลาง" ประสานงาน | บุคลากร (ม.มหิดล) ได้รับการยอมรับ ถูกแต่งตั้งเป็นกรรมการระดับชาติ | ||
สถาบันการศึกษา / นักวิจัย | มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ | ภาคีเครือข่ายนักวิชาการที่ร่วมต่อยอดงานวิจัย | ลดต้นทุนการเข้าถึงข้อมูลและเครือข่ายในพื้นที่เพื่อการวิจัย ได้ฐานข้อมูลไปต่อยอดงานวิจัย, เขียน Proposal, และพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน (เช่น บอร์ดเกม, บูรณาการในวิชาเรียน) | |
ภาคประชาสังคม / เครือข่าย |
Key จุดเน้น: ชี้ให้เห็น “ระบบนิเวศของการขับเคลื่อน (ecosystem of collaboration)” — ว่าใครบ้างที่ทำให้ผลลัพธ์เกิดขึ้นจริง
🔹 3. Intervention / Innovation (กลยุทธ์ – วิธีการ – เครื่องมือที่ใช้)
นวัตกรรมหรือวิธีการทำงาน | นวัตกรรมเชิงกระบวนการ (Process Innovation) : โครงการนี้เปลี่ยนวิธีการทำงานของพื้นที่ จากเดิมที่ "ต่างคนต่างทำ" (Silo) และ "รัฐสั่งการ" ไปสู่ "การบริหารจัดการร่วมบนฐานข้อมูล" (Data-driven Co-management) โดยใช้กลยุทธ์ 3 สร้าง (3-Build Strategy) |
| |
จุดแข็ง |
|
วาดภาพโมเดลย่อ (Impact Model Diagram) : OPTIONAL**
Problem (ความขัดแย้ง, ขาดข้อมูล, รัฐแยกส่วน) → Intervention (3 สร้าง: สร้างความเข้าใจ, สร้างการเข้าถึง, สร้างการพัฒนาร่วม) → Change (เกิดองค์กรผู้ใช้ , เกิดคณะทำงานฯ เกิดกติการ่วม ได้สิทธิ์ที่ดิน) → Value (SROI 28.89, ลดขัดแย้ง 100%, เศรษฐกิจ-สังคม-สิ่งแวดล้อมดีขึ้น) |
💡 Key จุดเน้น: แสดงให้เห็นว่าโครงการนี้ “เปลี่ยนวิธีคิดหรือวิธีทำ” ทำให้เกิดการการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
🔹 4. Impact Pathway / Theory of Change (เส้นทางของการเปลี่ยนแปลง)
ใช้โมเดลเชื่อมโยง Input → Activity → Output → Outcome → Impact
ลำดับ | รายการ | ตัวอย่างคำอธิบาย |
Input | ทรัพยากร, ทีมงาน, ข้อมูล | งบประมาณโครงการหลัก (ม.มหิดล): 995,000 บาท มูลค่าการลงทุนร่วม (Stakeholder Contributions) (Y0-Y2): 20.07 ล้านบาท (รวมเวลาของชุมชน , งบประมาณภาครัฐที่มาบูรณาการ , และทรัพยากรวิชาการ ) |
Activity | กิจกรรมหลัก |
|
Output | ผลผลิตที่เกิดขึ้น |
|
Outcome | การเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ | สังคม: ความขัดแย้งเกี่ยวกับทรัพยากรน้ำลดลง (ข้อร้องเรียนลดลงเกือบ 100%) เกิดความสัมพันธ์และการบูรณาการ (รัฐ-ชุมชน) เศรษฐกิจ: ลดผลกระทบและความเสียหายต่ออาชีพเกษตรกรรมและประมง ประชาชน 5,000+ ครัวเรือน เข้าสู่ระบบเช่าที่ดินอย่างถูกต้อง สิ่งแวดล้อม: คุณภาพน้ำในบึงดีขึ้น (จากประเภท 4 → 3) และเกิดกติกาการรักษาระดับน้ำ (ไม่ต่ำกว่า +23.00 ม.รทก.) |
Impact | การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ / ยั่งยืน | นโยบาย: เกิด "คณะทำงานบริหารจัดการน้ำบึงบอระเพ็ด (น้ำหลาก น้ำแล้ง)" ที่จังหวัดนครสวรรค์รับรอง กฎหมาย: ข้อเสนอจากโครงการถูกบรรจุใน "แผนการอนุรักษ์และคุ้มครองพื้นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงบอระเพ็ด (2565-68)" การขยายผล: สทนช. ภาค 2 ยอมรับ "บึงบอระเพ็ดโมเดล" เป็น "แนวทางปฏิบัติที่ดี (Best Practice)" |
🌱 Key จุดเน้น: ช่วยให้เห็น “เส้นทางของการเปลี่ยนแปลง” (Impact Pathway) ที่เกิดจากโครงการนั้นจริง ๆ
🔹 5. Evidence & Indicators (หลักฐานและตัวชี้วัดผลลัพธ์)
ระบุผลลัพธ์ในเชิงปริมาณและคุณภาพ เช่น
Quantitative | การแบ่งสัดส่วนผลกระทบ (Impact Breakdown) : มิติเศรษฐกิจ: 351.06 ล้านบาท (60.54%)
มิติสิ่งแวดล้อม: 183.23 ล้านบาท (31.60%)
มิติสังคม: 45.62 ล้านบาท (7.87%)
|
Qualitative | ลดความขัดแย้ง: "ลดปัญหาการร้องเรียนลงได้เกือบ 100%" (คำกล่าว ปธ.องค์กรผู้ใช้น้ำ) การยอมรับของภาครัฐ: กรมธนารักษ์ระบุว่า "บึงบอระเพ็ดถือเป็นพื้นที่ต้นแบบแห่งแรกที่สามารถดำเนินการ (ด้านการจัดสรรที่ดิน) ได้สำเร็จ 100%" การบูรณาการ: เกิดการทำงานร่วมกันของ 13 หน่วยงานรัฐที่เคยแยกส่วน |
SROI / Economic Valuation | อัตราผลตอบแทน (SROI Ratio): 28.89 (ลงทุน 1 บาท สร้างผลตอบแทนทางสังคม 28.89 บาท) มูลค่าผลกระทบรวม (Total Impact Value) (พ.ศ. 2564-2571): 579.92 ล้านบาท มูลค่าการลงทุนรวม (Total Input) (พ.ศ. 2564-2571): 20.07 ล้านบาท |
📊 Key จุดเน้น: ให้เห็นว่าผลลัพธ์ “จับต้องได้” และสะท้อนคุณค่า ไม่หยุดอยู่ที่ Output
🔹 6. SV Key Lessons Learned (บทเรียนสำคัญ / ปัจจัยความสำเร็จ)
ปัจจัยที่ทำให้โครงการสำเร็จ | 1. Data (การสร้างความเข้าใจร่วม): การสร้าง "ความเข้าใจที่เท่าเทียมกัน (Shared Understanding)" คือกุญแจสำคัญที่สุดในการลดความขัดแย้ง 2. Process (พลังจากฐานราก): ความสำเร็จเกิดจากพลังขับเคลื่อนจากภายใน (Bottom-up) และการสร้าง "องค์กรผู้ใช้น้ำ (WUO)" ที่เข้มแข็ง 3. Leadership (บทบาทคนกลาง): มหาวิทยาลัยมหิดล (ภาคการศึกษา) ทำหน้าที่เป็น "ตัวกลาง" (Facilitator) ที่เป็นกลาง ช่วยเชื่อมประสานรัฐและชุมชน 4. Partnership (ผลประโยชน์ร่วม): การออกแบบกระบวนการให้ทุกฝ่ายตระหนักถึง "ผลประโยชน์ร่วมกัน (Shared Incentives)" ทำให้เกิดการรวมกลุ่มที่แท้จริง |
อุปสรรคและสิ่งที่เรียนรู้จากการดำเนินงาน | การเอาชนะความไม่ไว้วางใจ: ในช่วงแรก ชุมชนมีความรู้สึก "บอบช้ำ" จากโครงการวิจัยในอดีตที่เป็นลักษณะ "วิจัยแล้วก็ไป" โครงการต้องใช้เวลาสร้างความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่อง ความซับซ้อนของกฎหมาย: การมี 13 หน่วยงาน และ 3 กฎหมายหลักซ้อนทับ ทำให้การบูรณาการในอดีตล้มเหลว โครงการต้องใช้ "คำวินิจฉัยกฤษฎีกา" (ที่ระบุว่าทุกกฎหมายต้องบังคับใช้ร่วมกัน) เป็นจุดเริ่มต้นในการเจรจา ปัจจัยภายนอก: การระบาดของ COVID-19 และสถานการณ์น้ำท่วมในปี 2564-2565 ทำให้การลงพื้นที่ภาคสนามล่าช้ากว่าแผน |
บทบาท | ผู้นำ (ม.มหิดล): เป็นผู้ริเริ่ม, ผู้ประสานงาน (Facilitator), ผู้สร้างองค์ความรู้และเทคโนโลยี (Line OA) เครือข่าย (องค์กรผู้ใช้น้ำ): เป็นเจ้าของปัญหา, ผู้ร่วมสร้างกติกา, และกลไกขับเคลื่อนในพื้นที่ ผู้สนับสนุน (ภาครัฐ 13 หน่วยงาน): เป็นผู้ถือกฎหมาย, ผู้ปรับเปลี่ยนทัศนคติ และผู้รับรองกลไกใหม่ให้เกิดผลในทางปฏิบัติ |
🔹 7. Impact Scalability
สรุปว่ากระบวนการนี้สามารถ “ต่อยอด / ขยายผล” ไปที่พื้นที่อื่นได้อย่างไร | โมเดลนี้สามารถขยายผลได้ (Scalable) โดยใช้กลยุทธ์ 3 สร้าง:
การขยายผลเชิงนโยบาย (Policy Scaling): สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ภาค 2 ยอมรับ "บึงบอระเพ็ดโมเดล" เป็น แนวทางปฏิบัติที่ดี (Best Practice) และมีแผนจะนำเสนอเพื่อขยายผลสู่องค์กรผู้ใช้น้ำกว่า 3,000 องค์กรทั่วประเทศ |
โครงการ ต้องการขยายความร่วมมือ อะไร ต่อยอด เชิญชวน Impact Partnership | 1. ด้าน Climate Resilience: ขยายผล "โมเดลนาเปียกสลับแห้ง (AWD)" สู่พื้นที่เกษตรกรรมรอบบึง เชิญชวนภาคเอกชนร่วมสร้างกลไกตลาดและแบรนด์ข้าวรักษ์โลก 2. ด้าน Technology: พัฒนาระบบ "SMART บึงบอระเพ็ด" ให้เชื่อมโยง API กับฐานข้อมูลของหน่วยงานต่างๆ (เช่น กรมชลประทาน, กรมทรัพยากรน้ำ) 3. ด้าน Sustainability (ความยั่งยืน): เชิญชวนภาคส่วนท้องถิ่นและภาคการศึกษา ร่วมส่งเสริม "ผู้นำรุ่นใหม่ (New Generation)" ให้เข้ามามีส่วนร่วมในองค์กรผู้ใช้น้ำ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของกลไก |
🧩 Key จุดเน้น: ให้ผู้อ่านเห็น “โอกาสในการนำโมเดลนี้ไปใช้ต่อ” มาร่วมมือกัน — ช่วยให้สมาคมเลือก case ที่มีศักยภาพสูงในการเผยแพร่ต่อสาธารณะ
🔹 8. SV Inspiration (การสะท้อนคุณค่าทางสังคม)
“What value did this project create for people and society?”
โครงการนี้ได้เปลี่ยน "สนามรบ" ของการแย่งชิงทรัพยากร ให้กลายเป็น "เวทีแห่งความร่วมมือ" โดยการสร้าง "ความไว้วางใจ" และ "กติการ่วม" ที่ตั้งอยู่บนฐานของข้อมูลและความเข้าใจซึ่งกันและกัน คุณค่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการคืน "สิทธิ์" และ "เสียง" ให้กับชุมชน ทำให้พวกเขาสามารถบริหารจัดการทรัพยากรของตนเอง ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูระบบนิเวศ และสร้างความมั่นคงในที่ดินทำกิน พิสูจน์ว่าปัญหาที่ซับซ้อนยาวนานสามารถแก้ไขได้เมื่อทุกฝ่ายมี "ผลประโยชน์ร่วมกัน"
สะท้อนในมุมของผู้ได้รับประโยชน์ (เสียงของ stakeholder)
คำพูดสั้น ๆ (Quote) จากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น ชาวบ้าน, นักวิจัย, ผู้บริหารท้องถิ่น
คำพูดสั้น ๆ (Quote) จากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง | นักวิจัย (ผู้เริ่มต้น): "หัวใจสำคัญคือการสร้างระบบและกลไกที่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนทัศนคติของชุมชน เมื่อชุมชนเข้าร่วม ระบบจึงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนที่เราจะผลักดันสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบายและข้อกฎหมาย" - ดร.ณพล อนุตรังกุล (หัวหน้าโครงการ) ภาคนโยบาย (ผู้ขยายผล): "ความเข้มแข็งของโมเดลบึงบอระเพ็ดเกิดจากพลังการขับเคลื่อนจากภายใน (Bottom-up) เมื่อทุกฝ่ายตระหนักถึงผลประโยชน์ร่วมกัน (Shared Incentives) จึงนำไปสู่การรวมกลุ่มที่แท้จริง ไม่ใช่การจัดตั้งจากภายนอก" - นายศราวุธ สากล (ผอ.สนทช. ภาค 2) ภาครัฐ (ผู้ถือกฎหมาย):
ชุมชน (ผู้ได้รับประโยชน์):
|
























ความคิดเห็น